วันศุกร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ยูเอฟโอ มาปรากฏตามนัดหมายที่สิงห์บุรี


ขอขอบคุณท่านที่สนใจติดตามข้อมูลข่าวสารของกลุ่มเขากะลา(เดิม) อย่างต่อเนื่องตลอดมา ซึ่งกลุ่มเขากะลา ได้เสร็จสิ้นการฝึกจิต และฝึกสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวแล้ว และได้เข้าสู่ระบบประสานงานเพื่อการเตือนภัย ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 โดยเปลี่ยนชื่อกลุ่มเขากะลา เป็นชื่อ......กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
-เรื่องราวการประสานงาน ข้อมูลใหม่ ๆ และภาพ UFO ที่บันทึกได้ในประเทศไทย จำนวนมากที่ยังไม่ได้เผยแพร่ กำลังรวบรวมจัดทำเพื่อนำเสนอให้ท่านที่สนใจรับทราบต่อไป
-จะนำข้อมูลเกี่ยวกับ "เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว" ที่ได้รับการสื่อสารข้อความผ่านมา และนำมาให้เห็นในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งเรื่องของมิติ เรื่องของอุปกรณ์ต่อเชื่อมกับสมองซึ่งเป็นเทคโนโลยีคล้ายกับโทรศัพท์มือถือของเราแต่ไม่เป็นวัตถุ เป็นกลุ่มพลังงานติดตั้งไว้แทน เป็นเทคโนโลยี่ มีหน้าที่รับการสื่อสารเหมือนกัน รับรู้เรื่องราวข้อความต่าง ๆ แม่นยำเหมือนเราคุยกันทางโทรศัพท์ ซึ่งผู้ผ่านการฝึกได้รับการติดตั้งแต่ละบุคคล จึงรับข้อมูลแตกต่างกันตามลักษณะการประสานงานของแต่ละบุคคล ซึ่งในเวลาที่เกิดภัยพิบัติ จะมีการใช้อุปกรณ์เช่นนี้ติดตั้งให้กับบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ผู้ฝึกแต่มีพื้นฐานต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในคราววิกฤต เพื่อใช้สื่อสารกันเพราะโทรศัพท์ไม่สามารถใช้การได้
-จะนำเรื่องราวต่าง ๆ มาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปหากท่านสนใจข้อมูลขอขอบคุณ และสวัสดีค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

การเผยแพร่ข้อมูลเรื่องของ UFO ที่เขากะลา

มารู้จักมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลากันเถอะ....

- ในห้วงจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล มีดวงดาวนับล้านๆดวง จะมีเพียงดาวดวงนี้เท่านั้นหรือ ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ยิ่งวิทยาศาสตร์มีความเจริญมากขึ้นเท่าใด ความพยายามที่จะค้นหาในสิ่งที่กำลังสงสัยก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

- แต่สิ่งหนึ่ง ที่สวนทางกันกับความเจริญทางโลก ก็คือความเจริญทางจิตวิญญาณ การเรียนรู้เพื่อให้เข้าถึงกฏของธรรมชาติ การเป็นผู้ให้ ความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ซึ่งเริ่มลดน้อยถอยลงแต่อำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลง ความมัวเมาในวัตถุ ความแก่งแย่งชิงดี ที่ดูเหมือนจะเจริญงอกงามมากขึ้นทุกวันเป็นเงาตามตัว

- ถ้ามองจากด้านนอกเราจะเห็นโลกแคบ แต่ถ้ามองจากด้านในเราจะเห็นโลกกว้าง- คำๆนี้มีนัยสำคัญสำหรับผู้ปฏิบัติอย่างยิ่ง เมื่อเราหมกมุ่นอยู่กับวัตถุสิ่งของภายนอก ความเจริญในด้านเทคโนโลยี่ต่างๆ ต่อให้พัฒนาไปสักแค่ไหนจะไม่มีคำว่าพอ จะต้องเสาะหาต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุดเพราะความทะยานอยากเป็นตัวผลักดันนั่นเอง

- แต่เมื่อเรามองจากข้างในตัวเอง มองเห็นความเกิดขึ้นของอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ความสุข ความทุกข์ เรียนรู้ขันธ์ห้าให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับกฏของธรรมชาติแล้ว เราจะเห็นโลกกว้างไกลเห็นทั่วทั้งอนันตจักรวาล เพราะทุกอย่างมีเพียงหนึ่งเดียวคือธรรมชาติ และทุกสรรพสิ่งก็ดำเนินไปตามกฏของธรรมชาติเท่านั้น

- กฎของธรรมชาติ หรือกฎแห่งกรรม เป็นกฏอันเดียวกัน เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในกฏของธรรมชาติ ดังนั้นกฎของธรรมชาตินี้จึงมีอยู่ทั่วไปในสากลจักรวาล -แล้วโลกที่มีความเจริญทางจิตใจ และทางวัตถุควบคู่กันไปเขาอยู่กันอย่างไร?......มารู้จักมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลากันเถอะ.....

-มนุษย์ต่างดาวที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ติดต่อสื่อสารด้วยนั้นมี 2 ดวงดาว เป็นหลัก คือดาวโลกุกะตะปากะดิกอง และ ดาวพลูโต-ดาวโลกุกะตาปากะดิกองเป็นดาวดวงหนึ่งที่อยู่คนละจักรวาลกับเรา มีความเจริญทางจิตและวิทยาศาสตร์ควบคู่กันไป มีเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้าล้ำยุค เป็นมนุษย์ที่อยู่อีกจักรวาลหนึ่งเป็นโลกที่มีขนาดใหญ่เกือบ 3 เท่าของโลกเรา โลกของเขาหมุนรอบตัวเองวันหนึ่ง 60 ชั่วโมง

- ภูมิประเทศ เ ป็นดาวที่อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์อากาศหนาวเย็น มนุษย์จากดาวโลกุกะตาฯ จึงต้องสวมใส่ชุดรัดรูปที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ อุณหภูมิภายในชุดที่สวมใส่จะปรับเองตามความสูงขึ้น หรือลดลงของอุณหภูมิภายนอก เพื่อคงสภาพอุณหภูมิภายในร่างกายให้คงที่

- บนดาวของเขา ก็มีภูมิประเทศคล้ายโลกเรา มีภูเขา มีแม่น้ำ มีทะเลแต่เขา ไม่มีเรือ(ยานฯแล่นบนน้ำได้) ไม่มีรถยนต์ ไม่มีรถไฟ ดังนั้นโลกของเขาจึงไม่มีมลพิษ ไม่ต้องมีถนนตัดผ่านให้วุ่นวาย แต่มีจุดจอดยานเป็นแห่งๆสำหรับขนส่งสิ่งของ

- ไม่มีทางเดินที่เป็นถนนสร้างยาวอย่างโลกของเรา แต่เขามีทางกระโดดซึ่งอยู่ห่างเป็นจุดๆ เพราะโลกของเขามีแรงดึงดูดน้อย จะเดินไม่ได้เพราะตัวเบา จึงต้องกระโดด เขากระโดดได้ไกลประมาณ 5 – 6 เมตร จึงสร้างจุดรองรับเป็นช่วงๆระยะห่างประมาณ 5 เมตร

- ในโลกของเขา ก็มีการเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน ในช่วงของการเกิดมรสุม มีการเกิดพายุอย่างหนัก แต่จะไม่เกิดความเสียหาย กับทรัพย์สิน และชีวิตแต่เพราะเขาอยู่ในยานฯ เมื่อเกิดพายุเขาก็จะนำยานฯไปลอยอยู่ข้างบนก่อน เมื่อสงบจึงกลับลงมา ส่วนที่พักที่อยู่บนพื้นโลกจะสร้างเป็นเพียงฐานสี่เหลี่ยมเตี้ยๆ โผล่ไว้เหนือพื้นดิน จึงไม่เกิดความเสียหาย และเป็นที่สำหรับนำยานลงจอด จะมีทางลงไปใต้ดินด้านล่างซึ่งเป็นที่สำหรับพักอาศัยภายในครอบครัว ซึ่งแต่ละครอบครัวจะมีสมาชิกไม่เกิน 4 คน คือ พ่อ แม่ และมีลูกได้ไม่เกิน 2 คน ถ้ามีเกินกว่านั้นก็จะผิดกฏ ต้องโดนไล่ออกจากจักรวาลนั้น

- มนุษย์ต่างดาวโลกุกะตาฯ มีความเจริญทางจิตสูงมากรักษาศีลกันเป็นปกติ (เป็นแนวทางดำรงชีวิตประจำวัน) แต่ศีลของเขาจะไม่เหมือนกับของเรา เพราะความแตกต่างในเรื่องความเข้าถึงกฏธรรมชาติไม่เหมือนกันเช่น ศีลข้อ 1 การฆ่าสัตว์ เขาไม่มี เนื่องจากเขากินอาหารที่เป็นแคปซูล ทำจากต้นเคริป ซึ่งเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นหลักวันละ 1 เม็ด เขาไม่มีระบบขับถ่าย เพราะจะย่อยสลายไปเอง เขาจึงไม่มีการเบียดเบียนกัน แต่สัตว์บนโลกเขาก็มี เขาบอกว่าปลาในน้ำก็มี สัตว์อื่นก็มีแต่ไม่มากมายเหมือนโลกเรา และสัตว์ต่าง ๆ ก็อยู่ไปตามธรรมชาติ จนหมดอายุไปเองศีลข้อ 2 การลักทรัพย์ ศีลข้อนี้ก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่มีเหมือนกันหมด และเป็นของรัฐบาลทั้งหมด ไม่มีการใช้เงินตรา ไม่มีการทำธุรกิจเพื่อแก่งแย่งกัน เพราะรัฐบาลจัดทำเอง จัดหาให้เองทั้งหมด ทุกคนจึงไปทำงานตามหน้าที่ของตนเท่านั้น ดังนั้นความโลภในทรัพย์สินจึงไม่มี และไม่ต้องลักขโมยกันศีลข้อมุสา ไม่ต้องมี เพราะเขาคุยกันทางจิต คิดสิ่งใดออกมาก็รู้กันหมด ซี่งมนุษย์ต่างดาวที่มาสื่อสารตอนแรก ๆ ยังเคยกล่าวว่า มนุษย์โลกนี้ทำไมคิดอย่างหนึ่ง แล้วบอกอีกอย่างหนึ่ง ทำไมไม่บอกอย่างที่กำลังคิด (ตอนนั้นมนุษย์ต่างดาวคงยังไม่รู้ถึงความซับซ้อนในการกล่าวคำเท็จของมนุษย์โลก) มนุษย์ต่างดาวบอกว่า ทำไมเขาจึงรู้ว่ามนุษย์คนนั้นกำลังคิดอะไ ร เพราะสิ่งที่มนุษย์คิดออกมานั้น มันเป็นระบบคลื่นที่ส่งออกมาจากสมอง เมื่อมีเครื่องมือแปลสัญญาณคลื่นนั้น ก็มองเห็นว่ากำลังคิดอะไร ซึ่งเขาก็ประดิษฐ์เครื่องแปลสัญญาณนั้นมาใช้บนโลก เขาบอกไม่ใช่เรื่องแปลก มันเป็นเทคโนโลยี เหมือนเรามีเครื่องรับแฟกซ์ ตอนเขาส่งมาจากต่างประเทศ ก็มาเป็นสัญญาณคลื่น เมื่อเรามีเครื่องรับแฟกซ์ ก็สามารถรับสัญญาณคลื่นมาแปลเป็นข้อความ หรือภาพ ลงในแผ่นกระดาษได้ และสามารถรับรู้ข้อความ หรือภาพต่าง ๆ ได้เหมือนกับที่เขาส่งมาเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้มนุษย์ยังไม่สามารถสร้างเครื่องแปลคลื่นความคิด ให้ออกมาเป็นข้อความได้ เราจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องลึกลับ ว่าเขารู้ได้ยังไงว่าเราคิดอะไรอยู่?

-เป็นตัวอย่างบางข้อ ที่เขาเคยกล่าวไว้ ซึ่งกฏศีลธรรมบนโลกเขา ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง โลกของเขาจึงไม่มีการปกครองด้วยกฏหมาย แต่มีกฏศีลธรรม หรือกฏของธรรมชาติ เป็นตัวกำกับ หากผู้ใดละเมิดกฏศีลธรรมก็ต้องถูกลงโทษเช่นกัน

- เรื่องราวยังมีอีกมากมาย และทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนที่นำมาเล่าให้ฟัง และเป็นข้อความที่พี่สุดใจเก็บรวบรวมไว้ ทุกครั้งที่มีการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว และเมื่อมีข้อมูลผ่านมา จ.ส.อ.เชิด จะเป็นผู้แปลข้อมูลต่าง ๆ และพี่จะเป็นคนบันทึกไว้ แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกในโอกาสต่อไปนะคะ

ufoที่เขากะลา

ภาพ UFO ที่ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติที่บันทึกไว้ได้ที่เขากะลา
ส่วนมากจะเป็นการบันทึกด้วยกล้องวีดีโอ ซึ่งไม่สามารถตัดแต่งภาพได้มีจำนวนมาก ข้อมูลการฝึกฯ กับมนุษย์ต่างดาว เขาสอนอะไร? ฝึกอะไร? และผู้รับการฝึกได้อะไร? ทำไมต้องประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆ และประสบการณ์เกี่ยวกับการรับข้อมูลของมนุษย์ต่างดาวโดยใช้เครื่องมือสื่อสารของมนุษย์ต่างดาวแทนการใช้การสื่อสารด้วยจิตนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้หลายท่านเคยประสบด้วยตนเองมาแล้วแต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไรเท่านั้นเอง

-สิ่งที่กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) จะแจ้งข้อมูลต่อจากนี้ จะเป็นการ.....แจ้งเพื่อทราบ....เท่านั้น เพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นเรื่องใหม่ เป็นวิทยาศาสตร์ ที่สามารถพิสูจน์ ทดสอบ ทดลองได้ ไม่ใช่ปาฏิหารย์ ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ใด ๆ แต่เป็นกลไกทางวิทยาศาสตร์ ที่มนุษย์ต่างดาว นำมาให้เห็น และจำเป็นต้องใช้ในช่วงวิกฤตของโลกใบนี้ ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไปอยู่นั่นเอง

-ข้อความสำคัญ....แจ้งเพื่อทราบ.....เท่านั้น (มนุษย์ต่างดาวให้แจ้งไปก่อน เชื่อไม่เชื่อให้แจ้งไป...นี่คือหลักการการแจ้งข้อมูลของมนุษย์ต่างดาวผ่านไปยังสื่อต่าง ๆ)

- การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว เริ่มจาก จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ... แจ้งเพื่อทราบ....ไปแล้วตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ซึ่งในระยะแรกไม่สามารถเชื่อถือได้เป็นธรรมดา เป็นกลุ่มคนบ้ากลุ่มหนึ่งที่มาทำเรื่องไร้สาระ เมื่อเวลาผ่านไปจึงจะมีหลักฐานต่าง ๆ ทั้งพยานบุคคล และภาพถ่ายต่าง ๆ มายืนยัน จึงพอที่จะเชื่อถือได้

- การฝึกฯสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ...... แจ้งเพื่อทราบ....ไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2542 รวมระยะเวลาการฝึกฯ 1 ปี ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่บุคคลต่างๆ ก็เห็นว่ากลุ่มนี้ทำอะไรไม่เข้าเรื่อง ซึ่งจากวันที่ 1 เมษายน 2547 เป็นต้นมา ก็เข้าสู่ระบบการทำงานกับมนุษย์ต่างดาวเต็มรูปแบบ ซึ่งได้มีการ...แจ้งเพื่อทราบ...ไปแล้ว ผ่านทางสื่อทีวี..รายการ V.I.P. ช่อง 9 (ไปบันทึกรายการวันที่ 16 ธันวาคม 2547ก่อนเกิดสึนามิ 10 วัน), รายการสารคดี UFO ในประเทศไทย , รายการย้อนรอย ITV, รายการชั่วโมงพิศวง ช่อง 7, แจ้งเพื่อทราบ...ผ่านทางหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 8, 10, 12, พฤศจิกายน 2548 และ แจ้งเพื่อทราบ...ผ่านทางบูธนิทรรศการ UFO ในประเทศไทย ซึ่งจัดร่วมกับ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาติครั้งที่ 11 วันที่ 8-11ธันวาคม 2549 .....เรามีหน้าที่แค่แจ้งเพื่อทราบ การมาปรากฏให้บุคคลต่าง ๆ ได้เห็นเป็นเรื่องของมนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเราจึงทราบว่า เมื่อรายการทีวีทุกรายการก่อนการนำเสนออะไรสักอย่างหนึ่ง จะมีการส่งทีมงานเดินทางไปบนเขากะลาก่อนเพื่อสังเกตุการณ์ว่ามีมูลความจริงหรือไม่ และต้องได้เห็นวัตถุบิน หรือลูกไฟวิ่งได้ หรือสิ่งอื่น ๆ ที่มาปรากฏแล้วเชื่อได้ว่าไม่ได้มีการหลอกลวงประชาชน หัวหน้าทีมงานจะต้องได้เห็นเองจนแน่ใจ จึงจะข้อมูลเสนอต่อทางรายการขออนุมัติถ่ายทำ แล้วจึงจะนำทีมงานมาถ่ายทำได้ และนำออกอากาศต่อไป จึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ต่างดาวต้องนำวัตถุบินมาปรากฏให้ทีมงานเห็นเอง ... ซึ่งเป็นการยืนยันได้ว่า สิ่งที่แจ้งเพื่อทราบ....ก่อนหน้านี้เริ่มมีการปรากฏชัดเจนมากขึ้น และเริ่มออกสู่สาธารณชนเพื่อให้รับทราบทางช่องทางอื่น ๆ ได้มากขึ้น

- และครั้งนี้ การถ่ายทอดข้อมูลเรื่องของ “เครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว” เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้ และเป็นรูปแบบเทคโนโลยีที่มนุษย์ยังค้นคว้าไปไม่ถึง แต่ก็จะเป็นการ..แจ้งเพื่อทราบ...เช่นกัน เป็นเรื่องบอกไว้ก่อนเพื่อทราบเช่นเดิม แต่ขณะนี้ได้มีพยานบุคคลต่าง ๆ ได้มีโอกาสเห็นเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาวมากขึ้นทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นเข้า-ออกมิติโดยไม่รู้ตัว การเห็นสถานที่ต่างมิติ เห็นการย้ายสิ่งของจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หรือ แม้แต่การcopy รูปร่างเดียวกันไปอยู่อีกสถานที่หนึ่งในเวลาเดียวกัน และพูดคุยสนทนาเหมือนกับเป็นบุคคลเดียวกัน มีผู้ถูก copy เช่นนี้แล้วหลายบุคคล ซึ่งได้มาเล่าให้กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)ได้ฟัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ใด ๆ เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเทคโนโลยีของต่างดาว เขาบอกว่าก็เหมือนเครื่องถ่ายเอกสารของเราเมื่อ copy จากเครื่องถ่ายเอกสารอย่างดี ต้นฉบับกับสำเนาแทบไม่ต่างกันเลยจะ copy อีกสักกี่แผ่นก็เหมือนต้นฉบับ (เปรียบเทียบกับเทคโนโลยีของเราเพื่อเทียบเคียง)แต่เขามีความเจริญกว่าเรามากนัก การ copy จึงยกไปได้ทั้งมวลสาร ซึ่งต่อไปข้างหน้าจะต้องใช้เทคโนโลยีแบบนี้ เพื่อที่บุคคลที่ทำงานเรื่องของภัยพิบัติ จะไปปรากฏตัวในหลาย ๆ ที่ในเวลาเดียวกันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น (อย่าลืมว่าในการเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ การสื่อสารจะไม่สามารถติดต่อกันได้ คุณจะไปอยู่กี่สถานที่จะไม่มีใครทราบได้เลย แต่ทุกอย่างทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่นทั้งสิ้น)

- วันนี้ขอบอกเล่าเพียงเท่านี้ก่อนด้วยข้อความสำคัญคือคำว่า ....แจ้งเพื่อทราบ... แล้วจะนำภาพต่าง ๆ มาเพิ่มเติมค่ะ